I knew I loved you,, KiHae's Day
KiHae's Day 12/09/11 :))
ผู้เข้าชมรวม
536
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“อืม
” ร่างบางค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ก่อนจะต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อพบว่ารอบตัวนั้นว่างเปล่าจนน่าแปลก ไม่มีผู้คน ไม่มีอาคารบ้านเรือน หรือแม้แต่ต้นหญ้าเล็กๆ ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าหมอกจางๆ ที่ลอยอยู่ทั่ว สิ่งที่เห็นคงไม่มีอะไรมากไปกว่าความว่งเปล่าสุดลูกหูลูกตา กับด้ายแดงที่พันอยู่บนปลายนิ้วก้อย
“ที่ไหน
” คนหน้าหวานยังคงถามตัวเองต่อไป ก่อนจะตัดสินใจเดินไปตามด้ายแดงที่ยาวจนมองไม่เห็นปลาย ทั้งที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว
มันจะไปสิ้นสุดที่ไหน
“
” ในที่สุดก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้วสินะ
ที่ปลายอีกด้านของด้ายแดง มีใคบางคนยืนอยู่ และปลายของเส้นด้ายก็จบลงที่นิ้วก้อยของเขาเช่นกัน เหมือนว่าใครคนนั้นจะยืนรออยู่ เพราะรู้ดีว่าร่างบางต้องมาถึงที่นี่
“นาย
” คำพูดที่ออกมาอย่างยากลำบาก เบาเกินกว่าจะได้ยิน เหมือนมีบางอย่างกั้นไว้ เขายังอยู่ที่เดิม ในที่ที่ไกลเกินกว่าจะมองห็นอย่างชัดเจน “นายคือ
”
“ตื่นเดี๋ยวนี้เลยยยยยยยย! >O<” เสียงสดใสชวดปวดหูเรียกคนหน้าหวานออกมาจากความฝันอันยาวนาน ดงเฮมองคนตรงหน้าอย่างงงๆ ก่อนจะมองไปรอบๆห้องเพื่อความแน่ใจ
“ห้องฉัน?”
“เออ! ถ้าไม่ใช่ห้องนายแล้วมันจะเป็นที่ไหน =*=”
“แล้ว
” แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ!
“แล้วอะไรกัน ไปอาบน้ำได้แล้ว รีบลงไปกินข้าวด้วย ฉันหิว” พูดจบฮยอกแจก็เดินออกไป
ฝันเหรอ บ้าจริง! หมอนั่นเป็นใครกัน
วันนี้เป็นวันหยุด แถมฮยอกแจยังออกไปข้างนอก สุดท้าย
เวลาบ่ายของดงเฮก็มาจบลงที่ร้านกาแฟใกล้บ้าน ด้วยเหตุลที่ว่าไม่อยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยการนั่งในร้านกาแฟก็ทำให้เขาได้เห็นผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมา
น่าแปลกที่ดงเฮยิ้มออกมา กับโลกด้านนอกกระจกที่ไม่ได้รู้จักกัน
คนที่เดินผ่านไป
กำลังกุมมือใครอีกคนขนอุ่น ในสวันที่อากาศหนาว
คนที่เดินผ่านไป
กำลังมอบรอยยิ้มอ่อนโยน ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
คนที่นั่งมองจากตรงนี้
ถึงได้มีความสุขตามไปด้วย ทั้งที่ส่วนลึกของใจบอกว่าอิจฉา
You are my everything
Nothing your love won’t bring
“ถ้าจะโทรมาตอนที่ฉันกำลังอารมณ์ดีแบบนี้นะฮยอกแจ
”
[ก็จะโทรมาชวนไปกินข้าวเนี่ย แต่ถ้าอยากจะทำอารมณ์ตามสบายต่อไปฉันก็ไม่ว่านะ]
“เฮ้ย! ไปๆๆๆ รอก่อนนะ” แล้วดงเฮก็รีบวางสาย ก่อนจะรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ตุบ!
“โอ๊ย!” คนหน้าหวานร้องอย่างตกใจ คลำหน้าผากตัวเองที่ชนเข้ากับใครอีกคนแบบไม่ทันตั้งตัว ก็ใครจะคิดว่าจะมีคนเดินเข้ามาล่ะ ยิ่งรีบๆ อยู่ด้วย
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” ร่างสูงถามอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นร่างบางเอาแต่ยืนถูหน้าผากขาวๆ
“อ
อืม ขอโทษนะ” ดงเฮก้มหัวให้แล้วก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะรีบไปไหนเหมือนตอนแรก แต่เป็นเพราะหัวใจกำลังเต้นรัวทั้งที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาชัดๆ ต่างหาก
ในอีกด้าน
ร่างสูงยังคงยืนอยู่ตรงจุดเดิม ทั้งที่ร่างบางเดินออกไปนานแล้ว เขายืนอยู่นานจนกระทั่งโต๊ะมุมในสุดริมกระจกของร้านว่างลง ถึงได้รู้สึกตัว และก็นั่งลง ตรงที่ที่ร่างบางเพิ่งจะจากมา
“ขอโทษทีนะ รถติด รอนานรึปล่าวะ” คนที่เพิ่งมาใหม่นั่งลงก่อนจะเริ่มถาม
“ไม่ ฉันเพิ่งมาถึงเหมือนกัน นัดฉันมามีอะไรรึเปล่าซีวอน”
“อะไรวะ จะนัดออกมาข้างนอกนี่ต้องมีธุระด้วยเหรอ” ซีวอนหัวเราะเบาๆ “มากไปแล้วโว้ยไอ้คิบอม”
“มาช้า =O=” ฮยอกแจว่า “แล้วไปเดินลากอะไรมาเนี่ย”
“หือ?”
“ไปเกี่ยวด้ายอะไรมาเป็นทางเลย -*-”
“เกี่ยวอะไร -O-” ดงเฮมองรอบข้าง อย่าว่าแต่ด้ายซักเส้น ผมซักเส้นยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เห็นจริงอ้ะ O.o” ฮยอกแจถามย้ำ ก่อนจะมองลงไปที่นิ้วก้อยที่มีด้ายพันของดงเฮ
“ก็ใช่นะสิ ถามแปลกๆ มีด้ายอะไรที่ไหนกัน”
“งั้นก็ช่างเหอะ กินข้าวดีกว่า”
“ประหลาด” คนหน้าหวานบ่น
เมื่อพ้นสายตาของดงเฮแล้ว ฮยอกแจเหยียดยิ้มบางๆ ให้ตัวเอง นึกถึงความสามารถเฉพาะตัวที่ลืมมันไปแล้ว
ลีฮยอกแจเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น และหนึ่งในสิ่งเหล่านั้นก็คือ พรหมลิขิต ด้ายแดงที่ยาวจนพ้นสายตาไม่ได้มาจากความซุ่มซ่ามของเพื่อนเขา แต่มันมาจากคนอีกคนที่เป็นคู่กันต่างหาก
Maybe it’s intuition
But something you just don’t question
Like in your eyes
ดงเฮนั่งกอดเข่าฟังเพลงอยู่คนเดียวนานเป็นชั่วโมง เอาแต่เปิดเพลงเดิมซ้ำๆ วนไปวนมาอย่างไม่มีเหตุผล อธิบายไม่ได้ว่าทำไม
ถึงเอาแต่ฟังเพลงนี้แล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว
“เป็นอะไรเนี่ย นั่งยิ้มอยู่ได้ หน้าต่างมันมีอะไนงอกออกมารึไงกัน =*=”
“ไม่รู้ซักเรื่องได้มั้ยฮยอก! ฉันกำลังอารมณ์ดี อย่าเพิ่งขัดเหอะ ขอร้อง”
“เอาไว้อารมณ์ดีตอนอื่นแล้วกัน ออกไปซื้อของให้หน่อยสิ เย็นนี้ฉันไม่อยู่บ้านนะ”
“ชิ! ใช้ได้ใช้ดีจริงๆ นะ” คนหน้าหวานเบ้ปาก
“อ่ะ! นี่รายการ นายไม่ซื้อของเข้าบ้านมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ไอ้นั่นก็หมด ไอ้นี่ก็หมด”
“ไม่รู้สิ 2 เดือนแล้วมั้ง แค่นี้ใช่มั้ย ไปนะ”
I see my future in an instant
And here it goes
I think I found my best friend
คิบอมหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพลงที่คุ้นหู แม้แต่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ยังหนีไม่พ้น ทุกครั้งที่ฟังมาถึงตรงนี้ เขาก็ต้องหัวเราะไปทุกครั้ง บนโลกนี้จะมีใครที่เป็นอย่างเพลงนี้ได้จริงรึเปล่านะ
เขาจะสามารถรักใครที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้จริงรึเปล่า
You are my everything
/ Even though it seems I have everything
“ฮัลโหล” ร่างสูงรับโทรศัพท์อย่างเย็นชา
“โทรมาทำไม” และที่อีกด้านของชั้นวางของคนหน้าหวานก็กำลังทำในสิ่งเดียวกัน
“ไร้สาระเป็นบ้า
” คิบอมบ่นใส่โทรศัพท์ของตัวเอง “แล้วนี่นายอยู่ไหน”
“ออกมาซื้อของให้ฮยอกแจ รอไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวรีบกลับไป” ดงเฮบอก
“นี่! ถ้าช้าได้ขนาดนี้ก็ไม่ต้องหามันแล้ว!” คิบอมเริ่มหงุดหงิดกับตัวเอง
“นี่ก็รีบที่สุดแล้ว บ้านฉันแทบจะเหลือแต่น้ำเปล่าอยู่แล้วนะซองมิน ขอซื้อของก่อนได้รึเปล่า รออยู่หน้าบ้านนั่นแหละ” ดงเฮกรอกเสียงกลับลงไป
“พอๆๆๆ วางหูไปซะ เดี๋ยวไว้เจอกันแล้วค่อยคุยทีเดียว” คิบอมตัดบท
“อืม แค่นี้น” แล้วดงเฮก็วางหู เดินไปอีกทางเพื่อรีบซื้อของให้เสร็จ พร้อมๆ กับที่คิบอมเข็นรถเข็นเอาของทั้งหมดไปจ่ายเงิน
โดยไม่ได้รับรู้ถึงบทสนทนาที่เหมือนกำลังคุยกันอยู่เมื่อกี้นี้เลย
“จะมาตกอะไรตอนนี้นะ
” คนหน้าหวานมองสายฝนตรงหน้าอย่างหงุดหงิด ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูซุปเปอร์มาร์เก็ตออกไป ละอองน้ำเล็กๆ ที่หยดลงจากฟ้าก็หนาขึ้นจนมองแทบไม่เห็นด้านนอกซะแล้ว
“คุณกำลังรีบสินะ
” ร่างสูงเดาเล่นๆ เมื่อเห็นอาการของคนที่ติดฝนอยู่ด้วยกัน
“
” ดงเฮได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่อยากจะคุยกับแปลกหน้าในเวลานี้เท่าไหร่
“หงุดหงิดไปฝนมันก็คงไม่หยุดง่ายๆ หรอก ผมว่าคุณใจเย็นๆ ดีกว่า”
“ปกติคุณคุยกับคนแปลกหน้าแบบนี้น่ะเหรอ
” คำพูดของคนหน้าหวานถูกกลืนหายลงไปเมื่อได้เห็น ‘คนแปลกหน้า’ ที่ยืนคุยอยู่นาน
เขามั่นใจว่าไม่เคยรู้จัก
เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอมาก่อน
เขามั่นใจว่าตรงหน้าคอคนแปลกหน้า
แต่หัวใจกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
ทำไมกันนะ
There’s just no rhyme or reason
Only the sense of completion
บางที
คำถามของดงเฮก็ไม่ได้ต้องการคำตอบหรอก
“ขอโทษทีนะซองมิน พอดีฉันติดฝนน่ะ” ดงเฮยิ้มแห้งๆ ให้ซองมิน ที่จริง
แค่พ้นจากหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตมานิดเดียว ถนนก็แห้งเหมือนว่าฝนตกแค่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเลยล่ะฃ
“หืม
ฉันรอมา 10 นาที น้ำซักหยดยังไม่มีเลย” ซองมินหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อเห็นสภาพดงเฮก็พอจะรู้ได้ล่ะว่าฝนตกจริงๆ “เข้าบ้านเถอะ”
“อืม ขอโทษนะ” ดงเฮบอกซ้ำๆ ก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านใน
“นี่นายรู้เรื่องผู้จัดการฝ่ายคนใหม่ที่ย้ายมาจากอเมริการึยังเนี่ย”
“หือ? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” คนหน้าหวานทำหน้างง
“ก็มีน่ะสิ”
“แล้วเค้าจะมาเมื่อไหร่
”
“พรุ่งนี้
”
หมอกจางๆ กลับมาอีกแล้ว
รอบตัวดงเฮกลายเป็นสีขาวเหมือนที่เคยเป็น ด้ายแดงที่เคยพันอยู่บนปลายนิ้วก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้ปลายของมันไม่ได้ยาจนสุดทางอีกแล้ว มันจบลงที่คนตรงหน้าเขาทันที
คนหน้าหวานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ช้าๆ แววตาที่เคยร่าเริงกำลังสั่น เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไป
“มันยังไม่ถึงเวลา
” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น เสียงที่คุ้นเคย แต่กลับบอกไม่ได้ว่าทำไม “แล้วเราจะเจอกัน
”
“อืม
” เสียงที่เบาหวิวลอดผ่านลำคอของดงเฮออกมาอย่างยากเย็น “ฉันรู้
”
พรึ่บ!
“ฝันเหรอวะ
” แล้วคนหน้าหวานก็ต้องอารมณ์เสียอีกครั้ง เมื่อหันไปมองนาฬิกาบนผนัง
“ตี 2! บ้ารึไงวะ มาตื่นเอาตอนนี้เนี่ย =[]=”
ถึงจะตื่นมาโวยวายกับตัวเองแล้ว
ความโมโหก็ไม่ได้หายไปง่ายๆ คนหน้าหวานจึงได้แต่นอนลืมตาค้างอยู่บนเตียงนุ่ม รอเวลาที่พระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า แต่ก็เหมือนรออะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
And in your eyes, I see the missing pieces
I’m searching for
I think I found my way home
เช้าวันต่อมา
ฮยอกแจหันมองคนข้างตัวอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าวันนี้ ดงเฮพาวิญญาณมาด้วยรึเปล่านะ
ทำไมถึงได้ดูเหม่อลอยอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้
“โอ๊ย! เป็นอะไรเนี่ยด๊อง ตื่นรึยังเนี่ย”
“หือ? ตื่นแล้วสิ ถ้ายังไม่ตื่นจะให้ละเมอมารึไง”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้ว!” ฮยอกแจทำหน้าบูด
“ฮ่าๆ ฉัน
ไม่รู้สิ เหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง
”
“
”
“ฉันยังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าคิดถึงอะไรกันแน่”
“จะที่ฉันเคบอกได้มั้ย” ฮยอกแจถามโดยไม่หันมามองสีหน้างงๆ ของดงเฮ
“เรื่องไหน
”
“เนื้อคู่ของนาย
จะมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว นายจะรักเค้าทั้งที่ไม่รูจักกัน”
‘แล้วฉันจะรักเค้าได้จริงๆ เหรอ’
‘ถ้าไม่ได้ แล้วรักแรกพบมันจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ
ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล ถ้าหัวใจมันบอกว่ารัก ก็คือรักนั่นแหละ’
วันนั้น
ฮยอกแจบอกเขามาแบบนี้ และมันก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุดสหรับดงเฮ แต่ตอนนี้
เขาคิดว่าเขาเชื่อนะ เพราะหัวใจมันเต้นแรงอย่างไม่ฟังเจ้าของ เหมือนรู้ว่าถึงเวลาที่รอมานานแล้ว
I know that it might sound
More than a little crazy
But I believe
รถสีดำสนิทเลี้ยวเข้าสู่บริษัทใหญ่อย่างไม่รีบร้อน เช่นเดียวกับอารมณ์ของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย คิบอมยิ้มน้อยๆ ให้กับสภาพเมืองที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนี้ ไม่รู้ว่ารอบข้างที่มีแต่ตึกกับรถยนต์มันมีอะไรให้เขายิ้มได้อย่างนี้กันนะ
“ซีวอนล่ะ”
“รออยู่ในห้อ้งค่ะ” เลขาของซีวอนตอบอย่างสุภาพ
“อืม
” แล้วคิบอมก็เดินเข้าไป
“ไง มาแล้วเหรอ”
“มาแต่เช้าหรือยังไม่ได้กลับเนี่ย” คิบอมถามเล่นๆ
“อย่างหลังว่ะ แต่นายมาเช้าดีนี่”
“อืม” คิบอมรับโดยไม่ได้บอกเหตุผล ว่าเค้านอนแทบไม่หลับเลยต่างหาก “ไม่มีอะไรแล้วมั้ง งั้นฉันไปก่อนนะ”
“อืม ไปถอะ ประชุม 9 โมงนะ” ซวอนบอกตามหลังคนที่เดินออกไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคิบอมไม่ได้หยุดฟัง
ร่างสูงเดินไปที่ลิฟต์อย่างใจลอย อยู่ดีๆ ภาพของคนหน้าหวานในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ลอยเข้ามาในหัว
ใบหน้าที่หงุดหงิดกับสายฝนอย่างถึงที่สุดยึดครองความคิดของเขาไว้จนหมด
เสียงเพลงที่ฟังบ่อยๆ ลอยขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีเหตุผล
หัวใจเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้
แล้วคิบอมก็ได้เข้าใจทุกอย่าง เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
“นาย
” เสียงที่เบาหวิวราวกับสายลมกำลังเรียกเขา
I knew I loved you before I met you
“อืม
” แล้วเขาก็กำลังตอบรับกลับไป “ผมเอง”
I think I dreamed you into life
“ฉัน
” ดงเฮขยับปากช้าๆ เหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอ
I knew I loved you before I met you
“
” แต่คิบอมก็รู้แล้วว่าดงเฮกำลังจะพูดอะไร หัวใจของเขารู้ทุกอย่าง
I have been waiting all my life
“นายจริงๆ สินะ” ดงเฮยิ้มพร้อมกับทิ้งตัวลงสู่อ้อมกอดของคิบอมโดยไม่รอฟังคำพูดอะไร
“อืม
” คิบอมโอบกอดร่างบางเอาไว้โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น
เขาไม่รู้เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้
ไม่รู้ว่าทำไม
ทั้งที่ไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน
แต่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกลับไหลเข้ามาในหัวไม่ยอมหยุด
ตั้งแต่วันที่เดินชนกันในร้านกาแฟ
หรือวันที่ติดฝนอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต
หรือแม้แต่ตอนที่ลิฟต์เปิดออก
คิบอมไม่รู้อะไรทั้งนั้น
อย่างเดียวที่เขารู้
“I knew I loved you
”
============================
มันไม่ค่อยจะสั้นเท่าไหร่
สาเหตุคือ จบไม่ลง
==;
ใช้เวลา 12 วัน
=O=
ไม่รู้มันนานไปมั้ยนะสำหรับ SF
เม้นซักนิดนะคะ
จะได้เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์
:)
ผลงานอื่นๆ ของ SWEET SARU ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ SWEET SARU
ความคิดเห็น